
“สมาธิสั้น ❌ไม่ใช่❌ ออทิสติก”
เรียกได้ว่าเป็นคนละโรคกัน🧠
(ยาวหน่อยนะคะ แต่อ่านแล้วเข้าใจง่ายแน่นอนค่ะ)
เด็กที่เป็นสมาธิสั้น ❌ไม่จำเป็นจะต้องเป็น ออทิสติก
แต่‼️เด็กออทิสติก มักมีภาวะสมาธิสั้นร่วมด้วย (เรียกว่าเป็นโรคร่วม คือคนนึงเป็นได้ทั้ง 2 โรคนั่นเอง)
ทั้งสองโรคนี้ ไม่สามารถระบุได้ขณะตั้งครรภ์หรือตอนแรกเกิด ไม่ต้องโทษคุณหมอตอนฝากครรภ์และไม่ต้องโทษตัวเองนะคะ….หากสงสัยให้รีบหาหมอ รู้แล้วรีบmove on ต่อไปด่วนเลยค่า😊
มารู้จักสมาธิสั้นกันก่อนค่ะ🧑🦰
สมาธิสั้น ถือว่าเป็นโรคยอดฮิต กระทบปัญหาพฤติกรรมที่พบได้มากที่สุดในวัยเด็ก ความชุกประมาณ 5% เรียกได้ว่า มีเด็กสมาธิสั้นอยู่ในแทบทุกห้องเรียนเลยก็ว่าได้ ซึ่งเด็กแต่ละคนมีความรุนแรงของโรคที่แตกต่างกัน
สมัยก่อน มักวินิจฉัยในช่วงอายุประมาน 6- 12 ขวบ แต่ปัจจุบันนี้ ไม่ต้องรอให้ถึง 6 ขวบก็ควรรีบปรึกษาแพทย์ได้แล้วนะคะ
เป็นภาวะบกพร่องในการทำหน้าที่ของสมองซึ่งอาการเริ่มตั้งแต่ก่อนอายุ12 ปี และเกิดขึ้นในอย่างน้อย 2 สถานการณ์ขึ้นไป เช่น เป็นทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนนั่นเอง
ตัวอย่างเกณฑ์การวินิจฉัยโรคสมาธิสั้นตาม DSM-5
โดย มีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 6 ข้อ (หรืออย่างน้อย 5 ข้อสำหรับวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 17 ปีขึ้นไป) เป็นเวลานานติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน และอาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการดื้อ ต่อต้าน หรือไม่เข้าใจคำสั่ง ดังนี้
1.อาการขาดสมาธิ ได้แก่
- ขาดความละเอียดรอบคอบ หรือทำงานผิดจากความสะเพร่า
- ขาดความตั้งใจที่ต่อเนื่องในการทำงานหรือการเล่น
- ดูเหมือนไม่ฟังเมื่อมีคนพูดด้วย
- ไม่ทำตามคำสั่งหรือทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่เสร็จ (โดยไม่ใช่เพราะดื้อหรือไม่เข้าใจ)
- ขาดการจัดระเบียบในการทำงานหรือในกิจกรรม
- มักหลีกเลี่ยงหรือไม่อยากทำงานที่ต้องตั้งใจพยายาม (เช่น การบ้าน)
- ทำของที่จำเป็นต้องใช้หายบ่อยๆ
- วอกแวกตามสิ่งเร้าได้ง่าย
- ขี้ลืมเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวัน
2.อาการอยู่ไม่นิ่ง-หุนหันพลันแล่น ได้แก่
- มักยุกยิกหรือนั่งไม่นิ่ง
- มักนั่งไม่ติดที่ เช่นลุกจากที่นั่งในห้องเรียนหรือในที่ที่ควรนั่งอยู่กับที่
- มักวิ่งไปมาหรือปีนป่ายมากเกินควร
- เล่นหรือใช้เวลาว่างอย่างเงียบ ๆ ไม่ค่อยได้
- มักไม่อยู่เฉยหรือแสดงออกราวกับติดเครื่องยนต์ไว้ตลอดเวลา
- พูดมากเกินไป
- มักพูดโพล่งตอบโดยไม่ทันฟังคำถามจนจบ
- มักไม่ค่อยรอจนถึงคิวของตน
- ขัดจังหวะผู้อื่น เช่นพูดแทรก หรือสอดแทรกการเล่นของผู้อื่น
ความซุกซน เป็นเรื่องปกติเกิดขึ้นได้ในเด็กทุกคน แต่มักเกิดขึ้นไม่กี่อาการและไม่ได้เกิดขึ้นตลอด เช่น เกิดขึ้นเฉพาะอยู่กับพ่อแม่เท่านั้น ไม่ได้กระทบที่โรงเรียน หรือเป็นเพียงช่วงๆ เกิดขึ้นนานๆครั้ง แต่หากพ่อแม่ท่านใดสงสัยว่าลูกมีแนวโน้มสมาธิสั้น แนะนำให้พาลูกพบแพทย์พัฒนาการเด็ก หรือจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เพื่อตรวจประเมินอย่างละเอียดนะคะ…หาคุณหมอไว เจอนักบำบัดไว น้องก็ดีขึ้นไวขึ้นนะคะ
ต่อมา มารู้จักออทิสติกกันค่ะ🌈
โรคออทิสติก เป็นโรคเกี่ยวกับความผิดปกติพัฒนาการของระบบประสาท จะเริ่มสังเกตุเห็นได้ชัดในเด็กวัย 1-3 ขวบ หรือหลังจากนั้น
บางคนเริ่มพาลูกไปพบแพทย์เมื่อสังเกตุเห็นว่าลูกไม่พูด หรือพูดซ้ำๆ ท่อง a-z ได้ พูดเป็นคำๆ ได้ศัพท์ภาษาอังกฤษ แต่ไม่สื่อสาร ไม่เล่นสมมุติ ไม่เรียกพ่อแม่ มองหน้าสบตาน้อย เรียกไม่หัน
อาการที่พบได้ชัดเจนในเด็กออทิสติก ตามเกณฑ์การวินิจฉัยของDSM-5 ได้แก่
1.ด้านการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับสังคม
- ถ้าในขวบปีแรก ก็อย่างเช่น ไม่สนในเอื้อมตัว ชูแขน หรือมองหน้าสบตา เล่นกับพ่อแม่ เรียกได้ว่าเป็นเจ้าเสือยิ้มยากเลย
- ไม่สนใจเล่นกับเพื่อน ชอบแยกตัวอยู่คนเดียว ไม่รู้วิธีการเข้าหา เล่นกับเพื่อนอย่างเหมาะสม
- บางคนพูดคุย สื่อสารได้ อยากเล่นกับเพื่อน แต่ก็จะพูดคุยแต่เรื่องที่ตนเองสนใจ ซ้ำๆ ไม่ได้สนใจว่าคนรอบข้างจะรู้สึกอย่างไร เช่น จะพูดแต่เรื่อง ไดโนเสาร์ คอมพิวเตอร์ รถ ไม่ค่อนสนใจฟังคนอื่น
- ความบกพร่องด้านการสื่อสารของเด็กออทิสซึม นั้นหลากหลายมาก ตั้งแต่พูดช้าไปจนถึงเงียบไม่พูด บางคนพูดได้แต่ก็ไม่เข้าใจภาษาในบริบทที่ซับซ้อน เช่น มุกตลก ประชดประชัน
- ไม่เข้าใจการแสงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่นๆ
2.ด้านพฤติกรรม ความสนใจ กิจกรรมที่เป็นแบบแผน หรือพฤติกรรมซ้ำๆ
- หลายคนหมกมุ่นมาก ในสิ่งที่ตนเองสนใจ หรือบางคนเรียกได้ว่าหมกมุ่นจนได้ดี ทำอะไรรูปแบบเดิมซ้ำๆ ไม่ว่าจะเป็นพูดซ้ำๆ กิจวัตรประจำวันเดิมๆซ้ำๆ
- ไม่ชอบอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น กินอาหารเดิมๆ เดินทางกลับบ้านเส้นทางเดิมๆ นั่งที่นั่งที่เดิมๆ
- หลายคนมีปัญหาเรื่องSensory ร่วมด้วย ไม่ว่าจะไวต่อประสาทสัมผัสเกินไป เช่น ไม่ชอบเสียงดัง ไวต่อกลิ่น ไวต่อการสัมผัส ไม่ชอบให้จับตัว หรือตอบสนองช้าไป เช่น ล้มยังไงก็ไม่รู้สึกเจ็บ หมุนตัวเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกมึน ชอบเคลื่อนไหวเร็วๆ กระแทกแรงๆ ชอบที่เสียงดัง เป็นต้น
ซึ่งระดับความรุนแรงของโรคออทิสซึม ตามเกณฑ์การวินิจฉัยของ DSM-5 นั้นมีอยู่ 3 ระดับคือ
ระดับที่ 3: “ต้องช่วยเหลือมาก” อาจพูดไม่ได้ หรือพูดได้เป็นคำๆ อาจมีพฤติกรรมกระตุ้นตัวเองมาก หรืออาจทำร้ายตัวเอง สนใจสังคมน้อย
ระดับที่ 2: “ต้องช่วยเหลือปานกลาง” มีปัญหาในการสื่อสาร พูดด้วยประโยคที่ไม่ซับซ้อน ไม่ยืดหยุ่น ทำอะไรซ้ำๆ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เรียนรวมกับเด็กพัฒนาการปกติได้โดย ครูให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษ
ระดับที่ 1: “High function” หรือที่เรียกว่า Asperger ตอนที่เกณฑ์การวินิจฉัย DSM-4(ก่อนปี 2013) นั่นเอง ช่วยเหลือตัวเอง สื่อสาร เรียนได้ บางคนถึงระดับปริญญาตรี หรือสูงกว่า ยังคงมีพฤติกรรมยึดติด หมกมุ่นอยู่ และลำบากในการเข้าสังคม เช่น การใช้คำพูดให้ตรงกับสถานการณ์ การเข้าใจมุกตลก